พิธีกรหนุ่มที่เกิดอาการฉุนขาดเมื่อรถมินิคูเปอร์สีเหลืองราคาแพงของเขาถูกมอเตอร์ไซด์เฉี่ยว
วุ่นวายบานปลายใหญ่โต จนถึงขั้นต้องลงมือลากคอเสื้อคู่กรณีมาต่อว่าด้วยความโมโห ทำร้ายร่างกาย และบังคับให้กราบรถ เรื่องราวขยายวงกว้างจนวลี “กราบรถกู” แพร่หลายออกไปเหมือนไฟไหม้ป่า เรื่องประเด็นในข่าวคิดว่าเรา ๆ คงพอทราบกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่อยากจะแบ่งปันน่าจะเป็นประเด็นที่ชวนคิดจากเหตุการณ์นี้มากกว่าครับว่า … “ตัวของเราเองกำลังกราบอะไรอยู่รึเปล่า?”
.
อยากให้เราเข้าใจ คำว่า “กราบ” กันก่อน ☺
.
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต ฯ ได้ให้ความหมายของคำว่า “กราบ” ว่า เป็นคำกริยา หมายถึง การแสดงความเคารพด้วยวิธีนั่งประนมมือขึ้นเสมอหน้าผาก แล้วน้อมศีรษะลงจดพื้น … นอกจากนี้ ยังอธิบายอีกว่า การกราบ ‘เป็นอาการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด’
การกราบนั้น เป็นกิริยาอาการที่มนุษย์ ทำต่อสิ่งที่มีอำนาจสูงกว่า และไม่มีท่าทางไหนอีกแล้วที่มนุษย์จะแสดงออกถึงความเคารพได้เท่ากับการกราบ ที่สำคัญ …
“เราบอกให้คนอื่นกราบอะไร ก็แสดงว่าเราเคารพสิ่งนั้น”
.
การที่เรากราบรูปเคารพ หรือสิ่งของ ใดๆ เท่ากับว่าเราเป็นทาสของสิ่งนั้นด้วยนะครับ
.
รูปภาพ จาก : mott.pe
ในด้านความหมายฝ่ายวิญญาณการ “กราบ” คือ การสยบยอมและจำนนต่ออำนาจเหนือชีวิต พูดให้ง่าย ๆ ก็คือ “เรากราบสิ่งใด เพราะเราตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งนั้น” คำว่า “อำนาจ” ในที่นี้ คือพลังในการควบคุมชีวิต ถ้าสิ่งไหนส่งผลต่อความคิด จิตใจ การกระทำ และจิตวิญญาณ สิ่งนั้นก็มีอำนาจเหนือเราแล้วล่ะครับ (ไม่ว่าจะโดยการบังคับ หรือ โดยยินยอม)
“บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้ได้ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำบาปผิดไว้ข้างหน้าเขา …”— (เอเสเคียล 14:3)
สิ่งที่ไม่ใช่รูปเคารพก็มีอยู่ ทั้งวัตถุ และบุคคล เช่น รถมินิ ฯ สีเหลือง, สตีฟ จ๊อบ หนังสือฮาวทูรวยล้นฟ้า และบางทีก็เป็นตัวเอง(หมายถึง ทั้งตัวเค้าและตัวเอง >__<) คริสเตียนเราอาจจะไม่ได้กราบสิ่งของ แต่เราอาจจะยกย่องวัตถุสิ่งของบางอย่างให้มีความสำคัญจนเกินพระเจ้าไป แม้ไม่ใช่รูปเคารพที่ส่งผลทางด้านจิตวิญญาณโดยตรง แต่การโฟกัสที่ผิดที่จะทำให้ชีวิตเราเสียศูนย์และทำให้เหินห่างจากพระเจ้า เราอาจไม่ได้แสดงอาการ “กราบ” จริงๆ แต่หากเรา “ยกย่อง” สิ่งเหล่านั้นเกินควร แบบนี้ ถือเป็นการ “กราบในใจ” และพระเจ้าไม่พอพระทัยแน่นอนครับ
.
มากกว่าสิ่งของ ตัวเราเองก็เป็นรูปเคารพ เอ้า! ไหงงั้น!!!
.
เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัย ในตัวท่าน คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ (ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ)
… แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
คือความโกรธ ความฉุนเฉียว การคิดร้าย การใส่ร้าย
และคำพูดหยาบโลนที่ออกจากปากของท่าน — (โคโลสี 3:5,8)
“โลกียวิสัย” คืออะไรเหรอครับ? ก็คือ นิสัยแบบโลก ๆ หรือนิสัยตามกิเลสตัณหา ถ้าเราปล่อยตัว ปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ไปตามเนื้อหนัง เราก็กำลังยึดถือตัวเองเป็นสำคัญ ไอ้ตัวของตัวเองเนี่ย ถ้ามันใหญ่กว่าพระเจ้าเมื่อไหร่ ตัวเราก็เป็นกลายพระเจ้าแทนแล้วครับ
“การสำคัญตัวว่าถูก” สิ่งนี้ก็เป็นการยึดถือ “ทิฐิ” (แปลว่า ความคิด) ของตัวเองด้วย แน่นอนว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วในแทบทุกสถานการณ์ เรามักจะสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองในการโกรธ โดยบอกตัวเองว่า “มันสมควรแล้ว”
ความโกรธ ความฉุนเฉียว คำหยาบคาย การปองร้าย สิ่งเหล่านี้ มักถูกแสดงออกมาโดยใครก็ตามที่ถูกอารมณ์ร้อนครอบงำ มันช่างดูเลวร้ายมากและมากเป็นพิเศษสำหรับคริสเตียนที่มีพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิต เพราะวินาทีที่อารมณ์ด้านมืดของเราทำงาน ในเวลานั้นพระวิญญาณได้ถูกขัดขวางโดยเนื้อหนังซะแล้วครับ
แน่นอนครับ เราหลายคนอาจจะมั่นใจว่า เราจะไม่มีทางทำตัวฉุนเฉียวรุนแรงเหมือนในคลิป แต่สารภาพมาซะดีๆ ว่าเราเองก็เคยแสดงอาการโกรธ โวยวาย ดุร้าย ป่าเถื่อน ขว้างของ กับเค้าบ้างเหมือนกัน เราทุกคนล้วนมีจุดอ่อนด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่น่าดู ไม่อยากให้ใครรู้ เพียงแต่เรื่องมันไม่แดงออกมา ไม่มีคนมาถ่ายคลิปเรา และเราไม่ใช่ดาราเท่านั้นเอง
การอวดดี ถือทิฐิ หรือ เข้าข้างตัวเอง ก็น่าจะเข้าข่ายโลกียวิสัยอันเป็นการบูชารูปเคารพในตัวเราเหมือนกันนะครับ เพราะในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งถ้าเราจองฝ่ายถูกแล้วใครเป็นฝ่ายผิดล่ะ?
.
รูปเคารพที่ชื่อว่าธรรมบัญญัติ กับ มหกรรมการ “ปาหินออนไลน์”
.
ภาพจาก ภาพยนตร์เรื่อง The Stoning of Soraya
.
ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งซึ่ง ประชาชนจับหญิงล่วงประเวณีได้คาหนังคาเขา และตามบทบัญญัติ คือ ให้เอาหินขว้างหญิงคนนั้นให้ตาย ผู้อาวุโสหลายคน และประชาชนต่างโกรธเคือง เกรี้ยวกราด ประณามหยามเหยียดหญิงคนนั้น และถือว่าเป็นเรื่อง “สมควรแล้วที่จะทำ” และจับผู้หญิงคนนั้นมาหาพระเยซู
“ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน” – (ยอห์น 8:7)
พระเยซูทรงตรัสเช่นนั้น ผลปรากฏว่าไม่มีใครกล้าปาหิน เพราะทุกคนต่างรู้แก่ใจว่าตัวเองเคยทำผิดไม่อย่างใดก็หลายอย่าง เขาจึงถอยไปทีละคน
ประโยคที่ว่า “เขาไม่ควรทำ” กับ “ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ทำ” สองประโยคนี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมที่จะ โกรธต่อการกระทำที่เกิดขึ้นใช่ไหม? และเป็นความชอบทำที่เราสมควรประณามมากเพราะมันผิดทั้งกฎหมาย และผิดทั้งต่อสังคมอันดีงาม
ลองเปรียบเทียบ ธรรมบัญญัติที่เป็นไม้บรรทัดของหญิงล่วงประเวณี (ซึ่งเป็นกฎหมาย+ประเพณี) กับ บรรทัดฐานทางสังคมอีกอย่างที่เรียกว่า “วิถีประชา” ที่เป็นไม้บรรทัดของเหตุการณ์รถมินิฯ ดูครับ
เราเคยฟิวขาดไหม? เราเคยทำผิดพลาดอะไรรึเปล่า? ถ้าไม่เราก็อาจมีสิทธิ์จะโกรธเคืองและปาหินใส่เขาได้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมเราจึงพยายามยกรถมินิ ฯ ทั้งคัน ปาใส่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยการด่าทอ แชร์ คอมเม้นท์ และใส่แฮซแท๊ก
การประณามเป็นการตอบโต้หนึ่งที่สังคมจะใช้ลงโทษผู้ที่ทำผิด “วิถี” ของสังคมอันดีงาม ฟังดูดีนะครับเพราะมันจะเป็นการปรามคนอื่น ๆ ไม่ให้ฝ่าฝืน แต่โลกสมัยนี้มันไว การประณามกลายเป็นการ “ข่มเหงออนไลน์” (Cyber Bullying)
“อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น…”—(มัทธิว 7:1-2)
สาเหตุที่เราควรปลอยวางเรื่องนี้ลง เพราะเมื่อเราทำผิด พระเจ้าก็ไม่เอาผิดเราเหมือนกัน การให้อภัยดูจะเป็นการดีที่สุดที่เราเองจะฝึกฝนตัวเองผ่านเหตุการณ์นี้ในฐานะคริสตชน
เราควรเลือกอะไรระหว่างที่จะ “ยึดมั่นความรัก” ที่คู่กับ “การให้อภัย” (ที่อภัยทั้งเขาและเรา) มากกว่ายึดถือธรรมบัญญัติที่คู่กับการลงโทษ (ลงโทษเขาและเรา) ถ้าเราคิดว่าเรายุติธรรมพอที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมกว่าเราเป็นไหน ๆ เหมือนที่ในพระคัมภีร์กล่าวว่า …
“พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย” —(กาลาเทีย 6:1)
ถ้าเรายอมให้ความโมโหครอบงำ … หัวของเราก็กำลังจดอยู่ที่เท้าของความโกรธด้วยเต็มใจและสยบยอมแล้ว #ถ้าเป็นอย่างนั้นเรากำลังกราบทิฐิของตัวเองอยู่รึเปล่า? ☺
…ถึงเวลาวางหินในมือลง แล้วเดินกลับบ้านไปพิจารณาตัวเองรึยังครับพี่น้อง?
ด้วยรักและชูใจ ☺
#Featured คอลัมน์ทันกระแสสังคม หยิบจับเรื่องทั่วไปมาพูดใหม่ในมุมมองคริสเตียน
ทุกวันพฤหัสสีส้มส้มน้าาาาา!!!
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง