ผู้เขียน Debra K. Fileta
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ : 3 ways actually guard your heart
“มากแค่ไหนคือมากกกเกินไป?”
ฉันไม่แปลกใจเลยซักนิดที่มักจะต้องตอบคำถามนี้บ่อยๆ จากหนุ่มสาวคริสเตียนที่คอยระมัดระวังความใกล้ชิดทางกายเวลาคบหากัน ว่าแต่ว่า ความใกล้ชิดทางกายนี่เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดในการคบหากันแล้วเหรอ?
.
คริสเตียนเรามักจะเพ่งเล็งความใกล้ชิด “ทางกาย” เป็นพิเศษ จนบางครั้งเราก็ลืมไปว่าความใกล้ชิดทางอารมณ์และจิตวิญญาณก็ผูกพันเราไว้หรือบ่อนทำลายความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน อันที่จริง ความใกล้ชิดทางอารมณ์นั้นทรงพลังมากกว่าที่เราคิดซะด้วยซ้ำ!
.
เมื่อคนสองคนเชื่อมต่อกันทางอารมณ์ มันมีอะไรมากกว่านั้นเกิดขึ้น มันตื่นเต้นไฟฟ้าช๊อตซะยิ่งกว่าการจูบหรือกอดกันซะอีก มันเป็นอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่กายสัมผัส ความใกล้ชิดทางอารมณ์ก็เหมือนกับความใกล้ชิดทางกายนั่นแหละ มันสวยงามและสร้างความผูกพันเมื่ออยู่ในบริบทที่ถูกต้อง แต่อย่าชะล่าใจไป! เพราะมันก็สามารถสร้างความเจ็บปวดและทำให้หัวใจแตกสลายได้เหมือนกันนะถ้ามันเลยเถิดเกินกว่าที่ควรจะเป็น!
.
ต่อไปนี้ก็จะเป็นตัวอย่างการคบหากันแบบปลอดภัยสบายอารมณ์ สิ่งสำคัญคือเราควรจะแน่ใจว่าความใกล้ชิดทางอารมณ์ของเรามันสอดคล้องกับ “ความจริงจังในความสัมพันธ์” ของเราด้วย แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายถึงว่าเราควรจะปิดกั้นความรู้สึกซะจนแมลงวันก็บินผ่านไม่ได้เวลาที่คบกับใคร เพียงแต่เราควรจะหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้เพื่อจะไม่ต้องเจอกับอาการปวดจี๊ดทรมานใจจากความผูกพันทางอารมณ์ที่เร็วเกินไปหากความสัมพันธ์นั้นยังไม่ได้แน่นอนถึงขั้นแต่งงาน
.
1. รู้จักกันก่อน แต่อย่าพึ่งใจร้อนอธิษฐานด้วยกัน
นี่อาจฟังดูตรงข้ามกับสิ่งที่พี่ๆ ที่โบสถ์เคยบอกเราเลยใช่มั้ยล่ะ เราถูกสอนมาว่าการอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ ฉันเองก็รู้จักคู่รักหลายคู่ที่เริ่มต้นความสัมพันธ์โดยการใช้เวลาอธิษฐานและเรียนรู้พระวจนของพระเจ้าด้วยกัน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีอ่ะนะ แต่ฉันคิดว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับความสัมพันธ์ที่พึ่งเริ่มต้น
ในช่วงเวลาที่เราแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เทใจและวิญญาณของเราออกต่อพระองค์นั้นเป็นเวลาที่เราเปิดเผยอารมณ์และความอ่อนแอของเรามากที่สุด มันเป็นเวลาที่เราเปิดเผยทุกความรู้สึกต่อพระเจ้าโดยไม่ปิดบังอะไรไว้
.
การอธิษฐานเผื่อความสัมพันธ์ของเราและคอยฟังเสียงพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วล่ะ แต่จะฉลาดกว่าถ้าเรารู้จัก “รอ” ก่อนที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วยกัน ให้เราแสวงหาพระเจ้าเป็นการส่วนตัวก่อนที่จะเอาใครอีกคนเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรากับพระเจ้าดีมั้ยคะ รอคอยจนกว่าเริ่มมั่นใจ อยากถึงขั้นแต่งงานกับเขาจริงๆ อย่าพึ่งรีบร้อนตอนที่ยังเริ่มจีบกันเลยจ้า
.
การดูใจกันควรเป็นช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกันและเรียนรู้จักสิ่งซึ่งลอยอยู่บนผิวหน้าของกันและกันก่อนจะก้าวไปขั้นต่อไป อ๊ะ อ๊ะ อย่าพึ่งเหยียบคันเร่งเต็มตัว เพราะการใช้ช่วงเวลาลึกซึ้งด้วยกัน เช่น การอธิษฐานร่วมกัน อาจเร่งให้ความใกล้ชิดทางอารมณ์ของเราเติบโตเร็วกว่าที่ควรจะเป็น สุดท้ายแล้วก็สร้างจะแผลใจและจิตวิญญาณอันเปราะบางของเราซะเอง
.
2. รู้จักเปิดใจ แล้วก็ต้องรู้จักปิดใจบ้าง
การคบหากันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้รู้จักและเรียนรู้ใครสักคน พร้อมกับที่เราเองก็ค่อยๆ ลดกำแพงลงและเริ่มเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเรามากขึ้น
แต่ประเด็นมันอยู่ที่คำนี้แหละ “ค่อยๆ ลดกำแพงลง” เมื่อเราเริ่มคบหาดูใจกับใครซักคน เราควรพร้อมที่จะเปิดใจ แบ่งปันเรื่องราวและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับใครคนนั้น แต่ก็ควรจะมีขอบเขตในเรื่องนั้นด้วย บางเวลาเราก็ควรจะเปิดใจในสิ่งที่เราเป็น แต่บางทีก็ควรยั้งไว้บ้าง อย่าไปเที่ยวเล่ารายละเอียดทุกอย่างหรือทุกความลับที่มีมาแต่เด็กให้เค้าฟังตั้งแต่วันแรกที่ไปเที่ยวด้วยกัน ความสัมพันธ์เป็นเหมือนเส้นทางแห่งความเชื่อใจ ที่ต่างฝ่ายต่างบรรจงสร้างขึ้นมาทีละเล็กละน้อย เริ่มด้วยการวางรากฐานก่อน จากนั้นก็เริ่มสร้างบ้านขึ้นมา จำไว้ว่าให้เป็นสิ่งที่เราเป็น มีความจริงใจ และซื่อสัตย์ แต่ก็อย่ามากจนเกินขอบเขต และคิดไตร่ตรองให้ดีซะก่อนนะจ๊ะ
.
3. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจริงจัง ถ้ายังไม่จริงจังก็อย่าพึ่งใจร้อนรับปาก
แน่นอนว่าพอเราเริ่มคบใครซักคน ต่อมความเพ้อฝันของเราก็ถูกปลุกให้ตื่น เราอยากจะตามหาฝันไปด้วยกัน วางแผนอนาคตด้วยกัน และสร้างอนาคตไปพร้อมกัน แต่ฉันคิดว่ามันมีเวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนั้น ถ้าจะจริงจังกันต่อไป ยังไงก็จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันให้เข้าใจเพื่อจะมองเห็นอนาคตเดียวกัน แต่เรื่องแบบเนี้ยะ มันไม่ควรจะพูดถึงก่อนเวลาอันสมควรหรือถ้าแค่ยังคุยๆ กันอยู่ ปัญหามันมักจะเกิดเมื่อเราจริงจังกับอนาคตไปแล้ว ทั้งๆ ที่ปัจจุบันคุณทั้งคู่ยังไม่ชัดเจนเลย!
.
ใจเย็นๆ นะจ๊ะ ให้ความสัมพันธ์มันค่อยเป็นค่อยไป อย่างมั่นคงก่อนจะรีบคุยเรื่องอนาคตกันไปแบบก้าวกระโดด เพราะว่า “คุยกันไปถึงไหน ใจก็ไปถึงนั่นด้วย”
.
เรามักได้ยินคริสเตียนพูดว่า “จงรักษาใจของเจ้า” ฟังดูพระคำตอนนี้อาจจะวินเทจไปจนฉันคิดว่าคนสมัยนี้อาจจะไม่ให้ความสำคัญไปแล้ว แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าหัวใจของเราเปราะบางแค่ไหน พระองค์จึงขอให้เราใช้เวลาปกป้อง ดูแลและเอาใจใส่หัวใจตัวเอง แต่การ “รักษาใจ” ไม่ใช่แค่เสกมาละจะทำได้ แต่มันคือการ “ตัดสินใจ” ในแต่ละวัน ตัดสินใจที่จะเชื่อ ที่จะใช้เวลา ที่จะยอมในแต่ละขั้นตอนของความสัมพันธ์ อย่างที่ใน สุภาษิต 4:23 บอก
“จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”
พบกับ #LoveCoach และ #โค้ชเจเจ้ คอลัมน์ตอบปัญหาความรักในสไตล์คริสเตียนได้ทุกวัน อังคาร สีชมพูววว์ นะจ๊ะ
Related Posts
- Translator:
- Nava
- หนึ่งในทีมผู้แปลชูใจ ผู้สืบทอดกิจการสายไหมของครอบครัว จบศึกษาอิงค์ แต่ไม่ได้อยากเป็นครูในระบบ มีความมุ่งมั่นที่จะตามหาฝันไปไกลถึงเมืองที่มีแกะมากกว่าประชากรในประเทศ
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง