ภาพประกอบ: คิง พีรณัฐ
“ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันเขียน จะแตะต้องในความคิดของท่านหรือไม่
ฉันเพียงแต่หวังว่าสิ่งที่ฉันเขียน จะอยู่ในชีวิตของฉันและคนที่ฉันปรารถนาดีด้วย”
ฉันคิดถึงประโยคนี้ก่อนที่จะเริ่มลงมือเขียนบทความนี้อย่างจริงจัง ครบหนึ่งอาทิตย์พอดีกับการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ฉันเห็นเรื่องราวที่ถูกส่งต่อมากมาย ไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนนำ้ตาในวันที่ทราบข่าวสวรรคต แต่ท่ามกลางความเศร้า ความรู้สึกสูญเสีย พิธีไว้อาลัย ข้อพระคัมภีร์หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด…
“ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษและวันตายก็ดีกว่าวันเกิด
ไปยังเรือนที่มีการไว้ทุกข์ ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน เพราะนั่นเป็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจ ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ เพราะความโศกเศร้าในใบหน้าทำให้จิตใจยินดี จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีความโศกเศร้า แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการสนุกสนาน”
ปัญญาจารย์ 7:1-4
เวลาที่อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าผู้เขียนนั้นอินดี้เหลือเกิน ใครกันจะอยากอยู่ในเรือนของความโศกเศร้า ยิ่งกับคนไทยซึ่งคุ้นเคยกับการหัวเราะ สนุกสนาน บันเทิงเป็นชีวิตจิตใจแล้วยิ่งดูเป็นเรื่องที่ขัดแย้ง แต่ถ้าพระเจ้าใส่ข้อนี้ไว้ในพระคัมภีร์ก็น่ามาคิดดูว่ามีความจริงที่ซ่อนอยู่อย่างไร โดยเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้…
_______________________
ปัญญาเกิดจากการสูญเสีย
การสูญเสียทำให้เรารู้คุณค่าของคนที่จากไปมากย่ิงกว่าเดิม ตอนนี้เราคนไทยทุกคนรู้สึกเช่นนั้น เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นจึงทำให้เราได้ย้อนคิดช่วงเวลาที่มีคนเหล่านั้นอยู่ ความดีงามของเขาจะผุดขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้องในทีมชูใจคนหนึ่งได้โพสต์ข้อความหนึ่งไว้ว่า
.
“สองวันที่ผ่านมา เราจมอยู่กับข่าวที่ไม่อยากเชื่อว่าคือเรื่องจริง ภาพและข้อมูลมากมายผ่านสายตาพาเราย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ในหลวงทรงกระทำเพื่อคนไทยตลอดมา ทั้งพระราชกรณีกิจ พระราชประวัติ โครงการในพระราชดำริ เพลงพระราชนิพนธ์ รวมถึงอารมณ์ขันของพระองค์ที่อ่านไปแล้วก็ต้องยิ้มตาม ทำให้เกิดความรู้สึกทั้งคิดถึงพระองค์ท่าน ทั้งอิจฉาราษฎรเหล่านั้นที่มีโอกาสได้ใกล้ชิด เห็นความอยู่ดีมีสุขของตัวเองซึ่งเป็นผลทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการทรงงานอย่างหนักของท่าน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่ามัวไปทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งจะมาใส่ใจเอาป่านนี้
ด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ หลายคนยอมลำบากเพื่อส่งเสด็จครั้งสุดท้าย โพสต์ข้อความเพื่อเอาไว้เตือนใจถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ บอกว่าจะเก็บรูปภาพที่หาดูได้ยากบ้าง เก็บวีดีโอเอาไว้บ้าง ซึ่งเราเห็นว่ามันก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
แต่ว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เราทำได้ เมื่อเวลาผ่านไปความรักที่เรามีต่อพระองค์ท่านก็จะกลายเป็นเพียงความทรงจำ ถ้าไม่มีการแสดงอะไรออกมามากกว่านี้ และบางทีการบอกรักที่ดีที่สุดที่เราพอจะทำได้อาจเป็นการน้อมรับแบบอย่างที่พระองค์ทิ้งเอาไว้ให้เรา ทำตามคำที่ท่านสอน ทำดีอย่างที่ท่านเคยทำ โดยไม่ต้องเกี่ยงงอนหรือมองที่ใคร เริ่มจากตัวเราเองนี่แหละ
เมื่อความเศร้าค่อยบรรเทา ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่เราก็ต้องเดินต่อ มาบอกรักในหลวงด้วยการเริ่มทำดีกันนะ”
.
สาระไม่ใช่ว่าปัญญานั้นน่าจะเกิดขึ้นตอนไหน สาระคือปัญญานั้นเกิดขึ้นตอนมีชีวิตเหลืออยู่หรือไม่ และปัญญานั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนอย่างไรต่างหาก
_______________________
นับวันสิ แล้วจะเกิดปัญญา
“ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญา”
สดุดี 90:12
ในเนื้อเพลง สองหมื่น ของแสตมป์พูดว่า ชีวิตของคนเรามีอยู่ในโลกนี้โดยประมาณที่ 20,000 วัน มากน้อยแล้วแต่ เนื้อร้องท่อนหนึ่งมีใจความว่า
“อยู่ที่เราจะใช้เวลาที่มี อยู่บนโลกนี้กันยังไง
เพื่อให้กับตัวเองคนเดียวทุกวัน หรือจะแบ่งปันให้คนอื่นบ้างไหม
เพื่อเราจะไม่ต้องมาเสียดาย เวลาที่ต้องจากไป”
ประเด็นของการนับวันมันอยู่ที่ท่อนสุดท้าย ‘เพื่อเราจะไม่ต้องมาเสียดาย เวลาที่ต้องจากไป’
ความตายเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ การใช้เวลาในขณะที่มีชีวิตอยู่ต่างหากเป็นสิ่งที่กำหนดได้ แต่เรามักใช้ชีวิตอย่างประมาทด้วยคำว่า “เอาไว้ก่อน” เราเอาสิ่งที่เราให้คุณค่า “ไว้ก่อน” ก็เพราะเราคิดว่ายังมีเวลาอยู่ แต่ที่จริงอาจไม่เป็นอย่างนั้น…
ภาพตัดไป มีบทความหนึ่งที่ฉันอ่าน ผู้เขียนพูดถึงพระอัจฉริยภาพของในหลวงที่กินใจยิ่งกว่าเคย…
สิ่งที่ทำให้ท่านเหนือกว่าคนอื่น…
เราอาจจะลืมไปว่า จริงๆ แล้วท่านก็มีร่างกายเหมือนกับเรา มีเรี่ยวแรงพอๆ กับเรา มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากับเรา ถึงเราจะแซ่ซ้องว่าท่านมีอัจฉริยภาพในหลายด้าน แต่ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านแตกต่างจากคนทั่วไป คือความวิริยะอุตสาหะ
ที่มาจาก Blog anontawong
.
ฉันคิดว่าในหลวงทรงเป็นผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง สิ่งที่พระองค์ทรงทำพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พระองค์จะ “ไม่เสียดายเมื่อต้องจากไป” เพราะพระองค์ทรงทำแล้วอย่างเต็มที่ ทุกวันในชีวิตของพระองค์ทรงทำในสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อพสกนิกรดังที่ทรงพระราชทานสัมภาษณ์ให้กับนักข่าวต่างประเทศไว้ในปีพศ. 2522 ว่า
“…การที่จะอธิบายว่าพระมหากษัตริย์คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่าเป็นพระมหากษัตริย์ แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้วดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้นก็คือ ทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือ ไม่มี เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา…”
ที่มาจาก นิตยสารแพรว
.
แล้วพระองค์ก็ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทรงใช้เวลา 89 ปีในโลก 70 ปีแห่งการครองราชย์อย่างคุ้มค่าจริงๆ…
_______________________
สติปัญญาเป็นเครื่องมือ ความรักเป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ และความเพียรคือการพิสูจน์ความรัก
.
จากพระราชกรณียกิจ โครงการในพระราชดำริ 4,596 โครงการ ที่เข้าถึงทุกชนชั้นและอาชีพ มีคนให้ข้อสังเกตว่าหากจะต้องทำโครงการจำนวนขนาดนั้นหมายความว่า ทุกๆ 5.7 วันจะต้องปั้นออกมา 1 โครงการตลอด 70 ปี!
อะไรเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ทรงงานอย่างหนักและต่อเนื่องได้นานขนาดนั้น?
นี่เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวทันที เมื่อคิดถึงตัวเอง ในขณะที่ฉันทำชูใจอยู่นี้ ซึ่งถึงแม้ก็มีแรงบันดาลใจอยากทำเพื่อผู้อื่นเช่นกัน แต่เพียงหนึ่งปีที่ทำมาก็มีเรื่องให้ทดสอบความตั้งใจนี้นับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็ถึงกับทำให้ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ต่อเนื่องยาวนานแค่ไหน แล้วสำหรับในหลวงที่ทรงงานมายาวนานถึง 70 ปีทรงทำได้อย่างไร?
.
ทรงเคยประทานสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนชาวอเมริกันว่า
“ความรู้สึกที่เป็นรางวัลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าพเจ้าก็คือ การที่ยังมีชีวิตอยู่และไม่ถูกเชิญออกไปให้พ้นจากราชบัลลังก์ โดยแท้จริงแล้วข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ก็โดยที่ประชาชนเลือกกันขึ้นมา ดังนั้น ถ้าหากประชาชนของข้าพเจ้าไม่ปรารถนาในตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปแล้ว ประชาชนนั่นแหละจะเป็นผู้เชิญให้ข้าพเจ้าออกไป และก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็จะเป็นคนว่างงานนั่นเอง”
ที่มาจาก นิตยสารแพรว
.
ทรงมีรับสั่งกับบรรดาบุคคลที่ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆอยู่เสมอว่า…“ความทุกข์ของประชาชนนั้น รอไม่ได้” เช่นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๘ น้ำท่วมกรุงเทพฯ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปวดพระทนต์ ทันตแพทย์จะถวายการรักษา แต่พระองค์ทรงตรัสว่า
“รอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้
วันนี้ขอไปดูราษฎร ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมก่อน”
ที่มาจาก Blog Oknation
…..
ฉันคงไม่ต้องพูดอีกว่าอะไรคือแรงบันดาลใจในการทรงงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในการจากไปของพระองค์ทำให้ฉันยิ่งตระหนักว่า “การอยู่ให้คนรัก จากไปให้คนคิดถึง” หรือถ้าตามในพระคัมภีร์ที่เขียนว่า “ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ” นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราได้ใช้ชีวิตด้วยความรัก ซึ่งส่งผลออกมาเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น… เท่านั้น
ขอให้สิ่งที่ฉันได้รับเหล่านี้เป็นคุณประโยชน์แก่ท่านเช่นกัน
#คำพ่อสอนจะอยู่ในใจเราเสมอ
Related Posts
- Author:
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง