คนต้นเรื่อง : วิจิตราอ่านโยเกิร์ตแลนด์แอนด์วิจิตราทุกตอนได้ที่ : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/yogurtland-and-vijitra/


การเริ่มต้นชีวิตในต่างแดนมักจะเริ่มต้นจากความรู้สึกแบบ  Honeymoon Stage ขั้นโลกสวย
เห็นอะไรก็สนุก ทุกสิ่งดูน่าสนใจ  พอผ่านไปซักช่วงนึงจะเกิดความรู้สึกที่เรียกกันว่า Culture Shock!!! 

 

สิ่งใหม่ๆ ที่ตอนแรกเห็นว่าสนุกกลับกลายเป็นสิ่งรบกวนการดำเนินชีวิต และมักเกิดอาการ Home sick คิดถึงบ้านตามมา  โดยทั่วไปจะมีอาการเหนื่อย เบื่อ อยากอยู่คนเดียว (หลีกเลี่ยงการเจอคน) รู้สึกแปลกแยก ท้อแท้ นอนเยอะ เหนื่อยง่าย นับวันรอการกลับบ้าน  และเลยไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นพิเศษ แต่แน่นอนว่าพอผ่านไปอีกซักพักก็จะเริ่มปรับตัวได้ มีเพื่อนใหม่ ทำกิจกรรมมากขึ้น เริ่มเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขละจ่ะ

สำหรับชีวิตของวิจิตรา มาอยู่ที่บัลแกเรียก็เฝ้าถามตัวเองว่า Honeymoon Stage ของเราอยู่ที่ไหน  มันเหมือนไม่มีช่วงนั้นเลย คือเราอยากกลับบ้านมากตั้งแต่อาทิตย์แรกและถามพระเจ้าบ่อยๆ ว่า “พระเจ้านำเรามาที่นี่เพราะอะไร” มันเป็นความรู้สึกหดหู่ และกลัวแบบบอกไม่ถูกเลยนะคะ  สิ่งที่น่าตกใจคือความรู้สึกนี้อยู่กับเราช่วงใหญ่ๆ เลย คงเป็นเพราะเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยทุกวัน

วันแรกและอาทิตย์แรกของเราบอกไว้เลยว่า “ยากมาก” มันเป็นเพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัย  ยูววว บัลแกเรียเป็นประเทศคอมมิวนิสต์มาก่อน ลองจินตนาการถึงภาพตึกทรงสี่เหลี่ยมสูง และลิฟต์แบบน่ากลัวๆ

 

Building

 

เมืองรูเซ่ (Ruse) เป็นเมืองเล็กๆ  ที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว คนเอเชียที่นี่เลยถูกยกให้เป็น Rare item คือของหายากนั่นเอง!!! เราเดินไปที่ไหนก็จะถูกมอง แลตามองบ้างหล่ะ  มองตรงเลยก็มี หนักถึงขั้นมองหน้าเราแล้วเรามองกลับไปแต่เค้าก็ยังจ้องไม่หลบตา วิจิตราก็เลยยิ้มให้ไปเลยละกัน เซเลบเค้าคงรู้สึกแบบนี้กันใช่มั้ย แอบกึ่งรู้สึกพิเศษ กึ่งรู้สึกเป็นคนต่างด้าว

 

อาทิตย์แรกวิจิตราไม่ชินและเครียดมากค่ะ แต่พอหลังๆ มาก็ปรับตัวได้เลยก็โปรยยิ้มให้อย่างสวยงาม มากไปกว่าการถูกจับจ้อง คงเป็นเรื่องร้านอาหาร เพราะที่นี่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว คนส่วนใหญ่ที่นี่เลยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ร้านอาหารเกือบจะทั้งหมดไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ  คิดดูละกันว่ามันอยู่ยากแค่ไหน  จิ้มรูปเอาคือสิ่งที่เราทำตลอดๆ   (หน้าตาอาหารที่ได้มันไม่ตรงกับรูปเลย ไม่ใกล้กับที่คาดไว้ด้วย) แต่นวัตกรรมหนึ่งที่สำคัญคือ Google Translate เป็นสิ่งที่ช่วยเราให้ผ่านสมรภูมิสั่งอาหารในแต่ละครั้งได้จริงๆ

 

Menu

เมนูอาหาร ไม่มีภาษาอังกฤษนะจ๊ะ

 

หดหู่จากเมืองมาแล้วก็มาต่อกันเรื่องอากาศ ช่วงแรกที่อยู่ที่นี่ เมืองจะมืดเร็วมาก 4 โมงไม่เกิน 5 โมงก็มืดแล้วจ้า  ร้านอาหารร้านค้าก็ปิดเร็ว คนไม่ค่อยมาเดินข้างนอกเท่าไหร่ แถมลมก็แรงด้วยนะยูว

 

อากาศที่นี่แตกต่างจากเชียงใหม่คูณสิบเลยจ้า ที่นี่อากาศเย็นทำให้ไม่ค่อยมีคนออกมาเดิน เดี๋ยวค่ะคุณ มันไม่ใช่ความเย็นแบบห้องแอร์บ้านเราที่มีความชิวเลยค่ะ มันเย็นเข้าไปในเสื้อกันหนาวทะลุถึงหัวใจ! และความเย็นๆ ชื้นๆ ขมุกขมัวแบบนี้ทำให้ดูน่าหดหู่ เมืองหนาวแบบนี้ มัน COLD ทั้งสถานที่ COLD ทั้งคนเลยค่ะ ที่รัก!

 

Cold Weather

เวลาหนาวก็หนาวแบบนี้เลยจ้า

เอกลักษณ์อีกอย่างของคนที่นี่ก็คือ เค้าจะทำหน้าบึ้งกันตลอดเวลา แม้กระทั่งไปร้านอาหารหรือซื้อของตามร้าน พนักงานจะแสกนหน้าเราเหมือนว่าเราพึ่งไปขโมยของในร้านมา 5555+ จนเราต้องถามตัวเองว่า “เอ๊ะ น้าโกรธอะไรหนูรึป่าวคะน้า 55+” และแน่นอนค่ะว่าวิจิตราไม่ชิน เพราะไอ คัม ฟรอม ไทยแลนด์ มั้ยล่ะ สยามเมืองยิ้มนะจร้าาาา ทำหน้าบึ้งขนาดนี้ที่ไทย พนักงานคงถูกไล่ออกไปละจ่ะ ยูววว

 

อีกเรื่องที่เจอทุกวันคือ คนที่นี่สูบบุหรี่กันหนักมากเลยค่ะ เพื่อนเกือบทุกคนที่เรารู้จัก (ไม่นับคริสเตียน ) สูบกันหมด ร้านอาหารยังโอเคให้สูบในร้านได้เลยด้วย ร้านกาแฟ ร้านเค้ก สูบได้หมดค่ะ ทรมานสุดๆ เวลาพักนักศึกษายังเดินออกมาสูบกันหน้าห้องเรียน หน้าโรงเรียนทั้งครูและนักเรียนออกมายืนสูบบุหรี่ด้วยกันงี้ก็มีนะจ๊ะ! บางคนเดินในสวนสาธารณะ ลากลูกด้วยมือข้างนึง อีกข้างสูบบุหรี่มีให้เห็นปกติเลยจ่ะ! ช๊อคกับเรื่องนี้เอาการเลย

 

City3

 

ทุกสิ่งอันเหล่านี้ที่เจอนี่แหล่ะ ทำให้เราใช้ชีวิตลำบากมากค่ะ เราพยายามยิ้ม พยายามทำให้เหตุการณ์ปกติแบบอยู่ได้ไม่เป็นไร แต่การพยายามด้วยตัวเองเหนื่อยมาก มันท้อใจสุดๆ  อยากกลับบ้านแล้ว เราเฝ้าถามพระเจ้าว่า   “พระเจ้านำเรามาไกลขนาดนี้เพื่ออะไร ทำไมต้องเป็นที่นี่!?” ดราม่ามากค่ะ ช่วงเวลาที่เราเกิดคำถามเป็นช่วงเวลาที่เรารู้ว่าเราต้องการพระเจ้าสุดๆ  และพระคำของพระเจ้าที่หนุนใจในสถานการณ์ของเรา ณ ตอนนั้นมาจากหนังสือเยเรมีย์

 

พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า” – เยเรมีย์ 29:11

 

ถึงแม้เรายังไม่รู้ว่าอนาคตที่ยังมาไม่ถึงว่าจะเป็นยังไง จะดูหดหู่ผิดคาดแบบนี้อีกไหม แต่เมื่ออ่านพระคำตอนนี้แล้วเรากลับอุ่นใจนะที่รู้ว่า

“พระเจ้ารู้ว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ แม้ว่า ณ เวลานี้เรายังไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม” แต่ก็น่าตื่นเต้นนะคะที่จะรอดูว่า “พระองค์จะทำอะไรต่อ” ในชีวิตของเรา  

 

เชื่อว่าใน ep. ถัดไปและถัดๆ ไป เราจะได้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น รวมถึงจะได้เข้าใจด้วยว่า “เรามาทำอะไรที่บัลแกเรียยยยยย”

 


ติดตามเรื่องราวของวิจิตราและการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเธอได้ใน คอลัมน์เด็กสมัยนี้  ทุกวันเสาร์ 19.30 น. ที่  Facebook: ChoojaiProject  จ้าาาาาา


Previous Next