คนต้นเรื่อง : วิจิตราอ่านโยเกิร์ตแลนด์แอนด์วิจิตราทุกตอนได้ที่ : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/yogurtland-and-vijitra/


______________________________

จากที่ลุ้นจนตัวโก่ง จนได้เห็นประสบการณ์การจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับคริสเตียนตัวน้อยๆอย่างเรา ทีนี้ก็ต้องเริ่มมาประจันหน้ากับขั้นตอนการทำวีซ่ากันหล่ะคะ ด้วยความที่ Coordinator (ผู้ประสานงาน) ของเราส่งเอกสารประกอบการทำวีซ่ามาช้า แล้วครั้งแรกที่ส่งมาคือข้อมูลเรื่องปีก็ผิดทั้งหมดเลย เราแอบสงสัยเลยว่าเราจะไว้ใจ Co ของเราได้จริงๆ ใช่มั้ยว่าจะดูแลเราตลอดรอดฝั่ง เฮ้อ..กว่าจะส่งฉบับที่ถูกต้องมาก็ช้าไปอีก 2 อาทิตย์เลยค่ะ

______________________________

พี่เน (พี่ที่ได้ทุนไปบัลแกเรียอีกคนหนึ่ง) บอกเราว่า “พี่ไปหาข้อมูลมา และมีตัวแทนของสถานกงสุลในไทยที่สามารถทำวีซ่าให้ได้ โดยที่เราไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงเวียดนาม” พอได้ยินแบบนั้นก็ดีใจนะคะ ไม่ต้องยุ่งยากอะไร เมื่อเตรียมเอกสารครบ เราก็ส่งเอกสารทั้งหมดไป จำได้ว่าช่วงนั้นวุ่นมากเพราะต้องรอเอกสารจากมหาวิทยาลัยต้นสังกัดส่งมาถึง ต้องทำการสอนเป็นปกติ ต้องไปมหาลัย (ซึ่งไกลจากโรงเรียนมาก) เพื่อทำเรื่องดรอป ต้องเตรียมเอกสารเยอะมากค่ะ (ช่วงนั้นมีความคิดแบบไม่อยากไปละ เบื่อมากที่ต้องทำงานกับเอกสาร)

 

หลังจากส่งเอกสารไปที่ตัวแทนของสถานกงสุลแล้ว เราก็รอคอยอย่างมีความหวัง เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อได้รับอีเมล์จากสถานกงสุลบัลแกเรียที่ไทยว่า เอกสารที่ส่งไปจะถูกตีกลับเนื่องจากสถานทูตที่เวียดนามต้องการให้ทั้งเราและพี่เนไป “ยืนยันตัวตน” เนื่องจากวีซ่าที่ขอเป็นแบบ Long stay เราค่อนข้างเครียดเลยค่ะ เพราะนั่นว่าหมายความว่าเราต้องขาดสอนที่โรงเรียนเพื่อไปเวียดนาม ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทาง (ซึ่งค่อนข้างเยอะ) และทั้งเรื่องความล่าช้า (ต้องรออีกหนึ่งเดือนกว่าวีซ่าจะอนุมัติ) กลัวไม่ทันเวลาเดินทาง ตอนนั้นเอกสารของเราทุกอย่างอยู่ที่เวียดนาม (รวมถึงพาสปอร์ต) หากจะเดินทางก็ต้องรอเอกสารตีกลับมาไทย มากรุงเทพ และกลับมาเชียงใหม่อีก จะจองตั๋วหรือกำหนดวันที่จะไปเวียดนามไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าเอกสารจะถึงเมื่อไหร่

 

ณ ตอนนั้นยอมรับเลยค่ะว่าค่อนข้างเครียดเพราะเราไม่สามารถวางแผนหรือควบคุมอะไรได้เลย สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “รอคอย” จริงๆ

 

หลังจากได้รับเอกสารและทางสถานทูตที่เวียดนามคอนเฟิร์มวันนัดมาแล้ว กลางคืนวันนั้นก็ซื้อตั๋วราคาแพงมหาโหด (ขอบคุณพระเจ้าที่เราเบิกทุนได้ทั้งค่าตั๋วเครื่องบินและวีซ่า แม่บ่นหูชาทุกวันเลย คือมันแพงมาก!) และเดินทางในวันรุ่งขึ้นเลยค่ะ คืนนั้นทั้งคืนต้องโต้รุ่งเพื่อทำแผนการสอนทั้งเทอมให้เสร็จ เพราะกำหนดส่งที่อาจารย์ไม่เลื่อนวันให้มันตรงกับช่วงที่ต้องไปเวียดนาม นี่แหล่ะ ชีวิตวิจิตราคือเบลอมาก 5555+ กลับมาทบทวนอีกทีเลยรู้ว่า ที่มีกำลังได้ช่วงนั้นเพราะพระเจ้าจริงๆ เลยนะคะ T^T

 

พอเช้าก็ต้องออกเดินทางทั้งที่ยังไม่ได้นอนเลยจ้า เราไปสนามบินสุวรรณภูมิด้วยความรู้สึกอึน ต้องไปเจอกับพี่เนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน (ก่อนหน้านี้ติดต่อกันผ่านมือถือและไลน์อย่างเดียว) พอเดินทางไปถึงสนามบินที่ฮานอย รู้แค่ว่าเราต้องขึ้นบัสสาย 17 เพื่อไปย่าน Old Quarter แล้วค่อยไปเดินหาโรงแรม แต่พอเอาเข้าจริงรถบัสสาย 17 ไม่มีผ่านสนามบินแล้ว ที่รู้ก็เพราะมีสาวเวียดนามเดินมาบอกและให้ตามนางไป พอขึ้นบัสก็คุยกันกับสาวเวียดนามใจดีคนนั้น นางเป็นวิศวกรพึ่งไปเที่ยวไทยมาพอดีกำลังจะกลับบ้าน นางบอกเราว่ารถที่เราขึ้นอยู่ไม่ได้ผ่าน Old Quarter ต้องไปต่อบัสอีกที่หนึ่งแล้วนางจะพาเราไป! โอ้โหขอบคุณพระเจ้ามากค่ะ เมื่อเราถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย วันนั้นเราก็จบวันด้วยการไปเจอเพื่อนรุ่นพี่คนไทยที่ทำงานเป็นสจ๊วต แถมยังพาเรากับพี่เนไปกินของอร่อยและที่สำคัญคือไม่ต้องจ่ายเงินเอง!!! นี่เหมือนมาพักผ่อนจากความวุ่นวายจริงๆ เลยค่ะ (ถึงจะได้ยินเสียงแตรรถทั้งคืนก็ตาม 555+)

 

เราว่ามอเตอร์ไซค์ครึ่งโลกคงมารวมตัวกันอยู่ประเทศนี้ละมั้งเนี่ย

 

วันถัดมา วิจิตราและพี่เนออกเดินทางแต่เช้าไปสถานทูต แท๊กซี่ที่พาเราไปไม่รู้จักที่เลยพาไปวนรอบเมืองแถมส่งไม่ถึงที่ด้วย เราสองคนเลยต้องไปงมกันต่อเองโดยใช้ตัวช่วยที่สองนั่นคือกูเกิลแมพ ซึ่งดีกว่าลุงแท๊กซี่เมื่อกี้นิดนึง คือจุดที่กูเกิลแมพบอกว่าเป็นสถานทูต คือจุดที่มีคนล้างมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าบ้าน! “เดี๋ยววววววนะ 5555+” มาเล่านี่คือฮาอะแต่ตอนนั้นจริงๆ เครียดมาก เพราะว่าเราสายแล้วค่ะ ณ ตอนนั้นเลยต้องถามชาวบ้านซึ่งไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ T^T แต่ในที่สุดเราก็หาเจอจนได้นะคะ ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

 

IMG_7710

มันต้องถ่ายรูปกับป้ายสิถึงจะเป็นคนไทย

 

เมื่อได้เจอคุณลุงท่านทูตดูเป็นคุณลุงใจดีมากค่ะ เราใช้เวลาอยู่ตรงนั้นไม่เกิน 30 นาที จริงๆ คำว่า “มายืนยันตัวตน” คือไปให้เค้าเห็นหน้านั่นเองค่ะ ถูกสัมภาษณ์ว่าไปเรียนอะไรแค่นั้นเอง ลุงตื่นเต้นที่รู้ว่าเราเรียนครูเพราะแกก็เรียนครูเหมือนกัน แถมถามเราด้วยว่าชอบทฤษฎีการสอนอันไหนมากที่สุด (เดี๋ยวนะคะลุง สัมภาษณ์วีซ่าเนาะ) ลุงก็หัวเราะที่วิจิตราตอบไม่ได้ค่ะ เพราะอิวิชาทฤษฎีการสอนได้ C มา 555+ พอจะเดาได้นะคะว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย คุณลุงท่านทูตช่วยไปปริ้นส์เอกสารที่เรากับพี่เนมีไม่ครบมาให้กรอกใหม่ แถมช่วยแลกเงินให้เสร็จสรรพ คือมันเหมือนเป็นการไปพบปะสังสรรค์ เม้าท์มอยกันมากกว่า อีกอย่างคือพี่เลขาคนเวียดนามของลุงก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับที่เราจะไปเรียนด้วยนะคะ วิจิตราดีใจที่ทุกอย่างมันดูเข้าทางไปหมดจนกระทั่งลุงทูตมาบอกตอนท้ายว่า “รู้ผลวีซ่าอีก 1 เดือนนะ” เล่นเอาถึงกับอึ้งไปเลย มันกระชั้นชิดกับการเดินทางมากจนทำให้เราไม่กล้าเตรียมตัว ไม่กล้าซื้อของอะไรไว้รอเลยเพราะกลัววีซ่าไม่ผ่าน แต่พี่ที่โบสถ์คนนึงหนุนใจว่า

 

“พี่เห็นนะว่าพระเจ้านำหน้าขนาดนี้ละ จะต้องกลัวอะไรอีก”
วิจิตรานี่กลับใจเลยนะคะ 555+

 

2FN (2)

เรากับพี่เน ณ ฮานอย

 

ถัดจากสัมภาษณ์วีซ่าเราก็สบายเลยค่ะ วันนั้นทั้งวันก็เดินเที่ยวกริ๊วกร๊าวย่านเมืองเก่าของฮานอยกับพี่เนสองคน แต่ตอนกลางคืนนี่พีคสุดค่ะ เราไปทานมื้อเย็นที่ร้านตามที่มีคนแนะนำ ขากลับเราก็นั่งแท๊กซี่กลับโรงแรม และพบว่ามือถือหาย!

 

เราทำมือถือหายค่ะไม่แน่ใจว่าทำหล่นในแท๊กซี่หรือโดนล้วงหลังจากลงมาแล้วก็ไม่แน่ใจ ตอนรู้ตัวว่าหายคืออยู่ที่ร้านของชำ ก็วิ่งทั่วเลยค่ะคุณ ค้นที่ห้องดูอีกรอบ หวังใจลึกๆว่า แท๊กซี่อาจจะเอามาคืน พนักงานโรงแรมได้แต่บอกเราว่า เสียใจด้วยนะคะ T^T ตอนนั้นเศร้ามากเพราะมันคือ ไอโฟนแสนแพงที่เราเก็บเงินซื้อครึ่งนึงด้วยตัวเอง พอพ่อกับแม่รู้ว่าเราทำมือถือหายนี่ พ่อเราตอบมาแค่ว่า “ดีจริงๆ” เป็นความรู้สึกแบบ ไปเวียดนาม 3 วันมือถือหาย ไปบัลแกเรีย 10 เดือนอะไรจะหายอีกบ้าง แต่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่เราเรียนรู้ ในการระวังตัวเองกับสิ่งของมีค่าให้มากขึ้นนะคะ

 

เย้! ผ่านไปสามอาทิตย์หลังจากที่กลับมา คุณลุงก็โทรมาบอกว่า “วีซ่าผ่านแล้วจ้า” รอรับพาสปอร์ตได้เลย แต่เอ่อ… รูปในวีซ่าไม่สวยเลยนี่คือความผิดพลาดที่ให้อภัยไม่ได้เลยนะคะ 555+

 

ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ว่าการรอคอยจะดูยากมาก ดูทำอะไรไม่ได้ ดูควบคุมอะไรไม่ได้ แต่สำหรับเราแล้วพระเจ้าทันเวลาค่ะ ไม่ต้องกังวลไป วิธีการของพระเจ้าอาจจะดูผจญภัย หายใจไม่ทั่วท้อง ตื่นเต้น เยอะแยะ แต่เป็นการทำให้วิจิตรารู้ว่า ในสถานการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ พระเจ้าทำได้ ☺

ตอนนี้ได้ทุนแล้ว! ดร๊อปเรียนเล้ว! ลาฝึกสอนแล้ว! ได้วีซ่าแล้ว! วิจิตราพร้อมแล้ว! บัลแกเรียที่รอคอยกำลังจะมาปรากฏตัวให้เห็นแล้วค่ะ!!!


ติดตามเรื่องราวของวิจิตราและการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเธอได้ใน
Facebook: ChoojaiProject ทุกวันจันทร์จ้า


Previous Next

  • Author:
  • วิจิตรา - สาวน้อยหัวใจผจญภัย กับความฝันอยากไปเมืองนอกที่ยังไม่หมดอายุของเธอ ถึงตอนนี้จะกลับมาจากบัลแกเรียแล้ว แต่ก็ยังคงเก็บตังค์เพื่อพาตัวเองออกนอกประเทศอีกครั้ง ตอนนี้เลยมาช่วยงานแปลพี่ชูใจไปก่อนเงินจะเต็มกระปุกให้ออกเดินทางงงงง
  • Illustrator:
  • Atom Pokaew
  • นักวาดภาพแนวปรัชญา นักดนตรีแนวปรัชญา ผู้รับใช้แนวปรัชญา ฯลฯแนวปรัชญา ชื่นชอบการผจญภัยไปในความคิดและการดูหนังจีนกำลังภายในเป็นชีวิตจิตใจ
  • Editor:
  • วอร์ วรรัก
  • Editor สาวเรียบเรียงหลายบทความในชูใจ เธอผู้มีภาษาละมุนละไม กระดุ้มกระดิ้ม และยังมุ่งมั่นรับใช้พระเจ้าและมีภาระใจในการทำงานด้านให้คำปรึกษากับวัยรุ่น เลยต้องดั้นด้นไปอยู่เมืองสิงโตพ่นน้ำเพื่อเรียนต่อด้านนี้!